ประวัติของโยคะ yoga
โยคะเกิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นเป็นคนแรกนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด เนื่องจากสูญหาย และลบเลือนไปด้วยกาลเวลาอันยาวนานแห่งอดีต สำหรับ ความเก่าแก่ของโยคะมีนักประวัติศาสตร์หลายคนวิเคราะห์ว่า เกิดขึ้นประมาณ 6,000 ปี ในดินแดน ที่เรียกกันว่า “ชมพูทวีป” ซึ่งคือประเทศอินเดียในสมัยปัจจุบัน
ปรมาจารย์ผู้คิดค้นโยคะขึ้นนั้น เท่าที่ค้นคว้ามีแต่เพียงว่าในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้วประมาณ 130 ปี มีมหาฤาษีองค์หนึ่งชื่อ “ปตัญชลี” ได้รวบรวมบรรดาวิธีบริกรรมแห่งโยคะขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยเรียกว่า “โยคะสูตร” และในเวลาเดียวกันก็ได้ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามความคิดเห็นและ ประสบการณ์ของท่านด้วย
โยคะคืออะไร
โยคะมาจากรากศัพท์ของคำว่า “ยุชิร” หรือ หรือ “ยุช" ซึ่งแปลว่า ผูกมัด ประกอบ หรือ รวมกันตามความหมายของศัพท์หมายถึงการเพ่งเล็ง จากข้อความโยคะสูตรของท่านปตัญชลีมหามุนี ซึ่งผูกไว้เป็นความว่า “โยคะ จิตตะ วฤตติ นิโรธะ” โยคะ คือ ความนิโรธพฤติแห่งจิต อันหมายถึงว่า ปรัชญาหรือระเบียบการบริกรรมแห่งโยคะนั้น คือ ความเพ่งเล็งหรือการทำสมาธิเพื่อให้จิตสู่ความหลุดพ้น
โยคะ เป็นการใช้ท่าและสมาธิเพื่อให้ร่างกายและจิตเชื่อมถึงกัน
หลักของโยคะจะอาศัยส่วนประกอบที่สำคัญ 4 อย่าง คือ
1. การหายใจ (Breathing)
2. การผ่อนคลาย (Relaxation)
3. ท่า (Pose, Posture)
4. การทำสมาธิ (Meditation)
โยคะ หรือระเบียบการบริกรรมแห่งโยคะ ไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นหนทางหรือวิถีทางหนึ่งที่ไม่ว่าผู้ถือศาสนาใดก็สามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อความสูงส่งแห่งจิตใจของตน เพราะว่าหลักโยคะตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม ดังจะเห็นได้จากองค์ 8 ของโยคะ หรือที่เรียกว่า “อัษฏางค์โยคะ” คือ
1. ยะมะ (Yama) คือ การละเว้นความชั่ว 5 ประการ ได้แก่
1.1 อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือ ทำผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดใด ๆ
1.2 สัตยา คือ การพูดความจริง
1.3 อัสเตยะ คือ การไม่ลักขโมย
1.4 พรหมจรรย์ คือ การไม่ประพฤติทางเพศ
1.5 อปริครหะ คือ ความไม่โลภ
2. นิยะมะ (Niyama) คือ การประพฤติความดี 5 ประการ ได้แก่
2.1 เศาจะ คือ ความบริสุทธิ์สะอาดทั้งร่างกาย และจิตใจ โดยการบังคับใจไม่ให้นึกถึงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์
เช่น กามารมณ์
2.2 สันโดษ คือ ความยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว
2.3 ตบะ คือ การบำเพ็ญเพียรเพื่อข่มกิเลส ตั้งจิตอยู่ในความอดทนต่อโลกธรรมแห่งความเป็นคู่ เช่น ลาภกับเสื่อมลาภ ยศกับเสื่อมยศ สุขกับทุกข์ เป็นต้น
2.4 สวาธยายะ คือ ความขวนขวายในการเรียนรู้
2.5 อิศวรปณิธาน คือ การตั้งทางจิตสู่พระเป็นเจ้า เป็นสิ่งที่โยคีถือว่าสูงสุด เปรียบได้กับ พระรัตนตรัยซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับศาสนาพุทธ
3. อาสนะ (Asana) คือ ท่าออกกำลังกายต่างๆ หรือท่าดัดตน เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์และจิตใจแน่วแน่ เพราะตามหลักของโยคะถือว่า กายกับจิตเป็นสิ่งที่ทับกันอยู่จะมีกายอันหนึ่งและใจอีกอันหนึ่ง ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้ จิตใจจะสมบูรณ์ได้จะต้องอาศัยความสมบูรณ์ของกายก่อนเป็นเรื่องสำคัญ อาสนะหรือการออกกำลังกายต่างๆ ตามหลักของโยคะนั้น ประสงค์ที่จะให้เกิดความแข็งแรงแก่ร่างกาย และจิตใจสำคัญ
4. ปราณยามะ (Pranayama) คือ การควบคุมลมหายใจ ถือว่าเป็นขั้นสำคัญ ในการที่จะก้าวขึ้นสู่ขั้นสูงๆต่อไป
5. ปรัตยาหาระ (Pratyahara) คือ การสำรวมจิต โดยตั้งจิตให้สงบและการควบคุมประสาทการรับรู้ทั้ง 5 ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การสัมผัส รส และกลิ่น
6. ธารณะ (Dharana) คือ การกระทำจิตให้มั่นคง แน่วแน่อยู่กับวัตถุที่ใช้ทำสมาธิ เช่น เพ่งลมหายใจไปที่ปลายจมูก เพ่งที่หน้าท้อง เพ่งที่หว่างคิ้ว เพ่งที่บริเวณหน้าอก
7. ธยานะ (Dhyana) หรือฌาน (ความเพ่งเล็ง) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ทำลายความนึกคิดอันเป็นวัตถุให้สิ้น
8. สมาธิ (Samathi) คือ ความคงที่ของจิต การรักษาสภาวะจิตที่ดี พิจารณาสภาวะความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้ง จิตเข้าสู่สมาธิอันแนบแน่น ขั้นนี้นับเป็นขั้นสุดท้าย และสูงสุดของโยคะ
แนวคิดของโยคะ
การฝึกโยคะมีแนวคิดหลักดังนี้
1. เพื่อให้ร่างกาย และกล้ามเนื้อแข็งแรง
2. เพื่อให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานปกติ
3. เพื่อให้เกิดความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บ
4. เพื่อบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บ
5. รูปร่างสมส่วน
6. เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต ทางด้านสมาธิ สติ และปัญญา
หน้าที่เข้าชม | 51,978 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 44,030 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 มิ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ต.ค. 2568 |